28 December 2009

วิธีแก้ Google Calendar Sync ให้ใช้ได้กับ Outlook 2010

screenshot_02

ปกติแล้วผมจะใช้มือถือในการจดบันทึกนัดหมายต่างๆ เรียกว่าตารางงานทั้งหมดฝากไว้กับมือถือ ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้ตารางนัดหมายเหล่านี้หายไป ผมจึงใช้ Google Calendar Sync ซึ่งจะทำการ Sync ข้อมูลระหว่างปฏิทินใน Outlook (ที่ sync กับมือถือผมผ่าน PC Suite ของ Nokia อีกที) กับ Google Calendar

พอผมลองใช้ Microsoft Office 2010 Beta ปัญหามันเกิดขึ้นทันทีเลย เพราะ GCS มันบอกว่า Outlook ใหม่เกิน - -“ เอาล่ะสิ เมื่อมีปัญหาก็ต้องมีวิธีแก้ครับ วันนี้มีเวลาว่างเลยลองหาดู ก็เจอเลยครับ แต่ว่าออกจะยุ่งยากเล็กน้อย ตามนี้เลย

1. ต้องแบ็กอัพไฟล์ OUTLOOK.exe ก่อนครับ อยู่ใน c:\Program Files\Microsoft Office\Office14 (หรือใน Program Files (x86) สำหรับระบบปฏิบัติการ 64-bit

2. ปิดโปรแกรม Outlook ให้เรียบร้อย ตรวจดูให้เรียบร้อยใน Task Manager ด้วย

3. เปิดไฟล์ OUTLOOK.exe ด้วย Hex Editor (ผมใช้ HxD)

4. หาบรรทัด ที่มี 14.0.0 ให้แก้เป็น 12.0.0 (อาจจะหายากนิดนึง)

screenshot_01

5. เซฟไฟล์ ถ้าใช้ HxD จะเซฟให้ทุกครั้งที่เราแก้ไขไฟล์ เพราะฉะนั้นเวลาแก้ก็ต้องระวัง ไม่งั้นจะบึ้มเอาได้ง่ายๆ

6. ลองเปิด Outlook แล้วลองดูว่ายังใช้ได้ดีอยู่รึเปล่า?

7. เปิด Google Calendar Sync แล้วจะพบว่ามัน Sync ได้แล้ว! เยี่ยมเลย

ลองทำดูครับ

Credit Venukb

20 December 2009

Test form Windows Live Writer

เพิ่งโหลดมา ลองซักหน่อย

เริ่มด้วย แหล่งกำเนิดของดราม่า (หว้ากอ - พันทิพ)

ต่อด้วยรูป

_MG_2703

ตามมาด้วยแผนที่

Map picture

(Bing Map แม่งกากส์จริง ความะเอียด 1 ใน 100 ของ Google Maps ระบบค้นหาก็ห่วย MBK ยังไม่รู้จัก)

เอาล่ะ พอละ

13 September 2009

คุณพกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตัวกี่อย่าง?

โทรศัพท์เคลื่อนที่(หลังจากนี้จะเรียกย่อๆว่า มือถือ) เครื่องเล่นเพลงแบบพกพา (ที่สมัยนี้นิยมเรียกว่า iPod) เครื่องเล่นเกมพกพา นาฬิกาดิจิตอล และอื่นๆอีกมากมายที่คุณสามารถพกพาไปไหนมาไหนกับคุณได้ เพื่อมองความบันเทิงอย่างไร้ขีดจำกัดให้คุณ

พกทำไมเยอะแยะครับ ตอนนี้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผมพกติดตัวมีแค่มือถือเท่านั้น ใช้ทำทุกอย่าง ผมเคยเห็นคนที่พกเครื่องนั่นโน่นนี่ ติดตัวหลายอย่าง ทั้ง มือถือ iPod เสียบหูฟังเพลง ในมือยังเล่น PSP แถมซักพักยังคว้าเน็ทบุกออกมาใช้อีกต่างหาก ไม่เคยคิดกันเหรอครับว่า พกไปก็ลำบาก เกะกะ หรือน่ารำคาญ แถมยังส่งปล่อยทั้งคลื่นวิทยุ และ ความร้อนออกมาตั้งมากมาย สิ้นเปลืองทรัพยากรในการผลิต พอใช้จนพังก็ทิ้งไม่เป็นที่

ลองย้อนมองตัวเองก่อนนะครับ ว่าสร้างภาระให้กับโลกแค่ไหน ด้วยการใช้อุปกรณ์สิ้นเปลืองเหล่านี้ ผมเองก็อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ใช้อุปกรณ์สิ้นเปลือง แต่อุปกรณ์ทุกชิ้นผมก็ใช้มันจนคุ้มค่า และที่สำคัญก็คือผมนำมันไปทิ้งถูกที่ (รีไซเคิล) เลิกเถอะครับ ถ้าคิดแค่ว่าจะซื้อเพราะมันดูดี มันเท่ห์ อินเทรนด์ แต่สิ่งที่ตัวเองมีก็ยังใช้ได้ดี

แล้วคุณล่ะ? พกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตัวกันกี่อย่างครับ?

ปล. จริงๆอยากจะเขียนเรื่องนี้เพื่อเตือนตัวเองมากกว่า เพราะเริ่มรู้สึกว่าจะไหลไปตามกระแส

22 August 2009

คีย์บอร์ด มันดีกว่า จอสัมผัส + ปุ่มตัวเลข มันดีกว่า คีย์บอร์ด = Nokia 5730 XpressMusic


ผมซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่มาครับ Nokia 5730 XpressMusic เหตุผลที่ผมรีบตัดสินใจเสียเงิน เพื่อซื้อโทรศัพท์ในครั้งนี้ ก็เพราะว่า Asus P525 ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมาเกือบสองปีมันชักอาการไม่ค่อยดี ชอบดับเองบ่อยๆ แถมเครื่องก็ชอบค้าง ซึ่งเป็นอาการปกติของตระกูล Windows Mobile) ซ้ำร้ายปุ่มควบคุมทิศทางแบบจอยสติ๊กดันโยกได้แบบเพี้ยนๆ เช่น โยกลง ดันกลายเป็น ลง+ซ้าย นอกจากนี้ Wi-Fi ที่เคยใช้ได้ดีก็กลับต่อไม่ค่อยติด พอเข้าเว็บเบราว์เซอร์ ก็ค้างอีก ผมจึงทนไม่ไหว ไม่อยากเสียการติดต่อ + เสียอารมณ์ กับการใช้งานเครื่องนี้อีกต่อไป เลยเป็นโอกาสเหมาะที่จะหามือถือเครื่องใหม่ ที่มันจะไม่กวนใจผมเวลาใช้
ผมก็ตั้งสเปกของเครื่องนี้ไว้สูงพอสมควร (สูงกว่าสเปกผู้หญิงของผมซะอีก) แต่ความสามารถอย่างหนึ่งที่ผมอยากได้มาก ตั้งแต่เริ่มนั่งจิ้มๆจอเจ้า P525 ก็คือ QWERTY keyboard ครับ ทำไมนะหรือ? ก็เพราผมรู้สึกไม่ถนัดอย่างยิ่ง ในการนั่งจิ้มจอ ด้วยความที่คีย์บอร์ดเสมือนใน P525 มันเล็กสิ้นดี จิ้มพลาดนิดเดียวก็ไม่ตรงกับตัวอักษรที่ต้องการแล้ว ผมเลยเหนื่อยหน่ายทุกครั้งที่ต้องจิ้มจอ

ถึงหลายคนที่ใช้ iPhone หรือเครื่องจอสัมผัส อาจจะเถียงว่า คีย์บอร์ดเสมือนบนจอมันจะไม่เล็กแล้ว แต่ถึงกระนั้น ผมก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนใช้มือถือจอสัมผัสต้องเถียงไม่ออกอย่างแน่นอน “ตอนขับรถ คุณใช้จะสัมผัสจอยังไง” นั่นคือสิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดในการใช้มือถือจอสัมผัสครับ เพราะมันต้องมองจอตลอดเวลา!! นั่นทำให้อันตรายเข้าใกล้คุณมากขึ้น แค่เดินยังจะชนเลย ยิ่งตอนขับรถไม่ต้องพูดถึง

แต่อย่างไรก็ตาม QWERTY keyboard มันก็ใช้ไม่สะดวกเวลาขับรถพอกัน ดังนั้นมือถือที่ผมจะใช้มันก็ต้องมีปุ่มตัวเลขแบบมือถือธรรมดา ซึ่งทำให้ตัดรุ่นมือถือที่ไม่มี 2 อย่างนี้ไปได้ แทบจะหมดโลก เหลืออยู่แค่ HTc S740 กับ Nokia E75 และ 5730 XM เท่านั้น ผมก็ตัด HTc ไปแบบไม่ลังเล เพราะมันใช้ระบบ Windows Mobile! ที่จะต้องค้างเป็นพักๆอีกอย่างแน่นอน และเหตุที่ไม่เลือก E75 เพราะดีไซน์มันไม่สวยในสายตาผมเลยครับ ถึงการประกอบจะดีกว่าตามสไตล์ Series E ก็ตามที

5730 เครื่องนี้มีทุกอย่างที่ผมต้องการ ทั้ง QWERTY keyboard, Wi-Fi, Organizer, Bluetooth, กล้อง (ที่ผมไม่เกี่ยงว่าความละเอียดจะเท่าไหร่ แค่ถ่ายรูปได้เป็นพอ) และอันดับสุดท้ายก็คือ ระบบ 3G ที่ผมทำใจไว้แล้วว่า ถึงจะใช้เครื่องนี้จนพังไปอีกเครื่องในเมืองไทยก็คงจะยังไม่มี นอกจากความสามารถข้างต้นแล้ว ก็ยังมี feature ที่เหนือความคาดหมายของผมอยู่ในมือถือเครื่องนี้ด้วย เช่น ปุ่มเล่นเกม N-Gage, GPS ที่ผมคงไม่ต้องใช้ และสิ่งที่เจ๋งที่สุดของเครื่องนี้ก็คือ ‘Say and Play’ ครับ

‘Say and Play’ คือระบบที่จะฟังเสียงพูดของคุณออกมาเป็นตัวอักษรแล้วก็นำไปค้นหาเพลง จากนั้นก็เล่นมันออกมา ซึ่งมันเจ๋งมากๆตรงที่รองรับภาษาไทยนี่แหละ แต่เท่าที่ผมลองก็ยังไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่นะ หรือผมออกเสียงไม่ชัดก็ไม่ทราบได้ แต่ค่อนข้างแน่ใจว่ามันจะแปลงคำที่พูดออกมาเป็นทับศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือที่ชอบเรียกว่า ภาษาคาราโอเกะ แล้วนำไปค้นหา ในฐานข้อมูลเพลงอีกทีหนึ่ง

แต่ก็ใช่ว่ามันจะดีไปหมดทุกอย่าง อย่างแรกที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดี ก็คือการประกอบ โดยเฉพาะตรงปุ่มเล่นเพลงด้านข้างจอ ที่ดูเหมือนจะเริ่มยุบทั้งที่เพิ่งใช้มาอาทิตย์เดียว และฝาหลังที่ดูบอบบางเสียเหลือเกิน จนไม่กล้าแกะพลาสติกที่ติดไว้ออก เพราะมันทำมาจากพลาสติก ซึ่งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มันจะทนกับการใช้งานของผมได้ซักกี่น้ำ แต่ก็ประกอบส่วนอื่นๆก็ยังไม่ออกอาการเท่าไหร่นัก สิ่งที่อยากติต่อมาก็เชื่อมโยงกับข้อเสียแรก นั่นคือเครื่องด้านหน้าเป็นรอยนิ้วมือได้ง่ายมาก เพราะพลาสติกเป็นแบบมันเงา อย่างสุดท้ายที่ไม่ชอบคือจอมัน “ไม่สัมผัส” ครับ อ๊ะ เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งด่า จริงๆแล้วที่รู้สึกขัดนิดๆเวลาสัมผัสจอไม่ได้ น่าจะมาจากการใช้มือถือจอสัมผัสมานานมากกว่า แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินแล้วล่ะครับ

ถ้าใครชอบพิมพ์ แต่ไม่ชอบมือถือจอสัมผัสแหละก็ ผมแนะนำรุ่นนี้แบบโคตรๆเลยครับ หรือจะลองมาเล่นเครื่องผมก่อนก็ไม่ว่ากัน
ปล. ระบบสะกดคำ T9 ใช้กับ QWERTY ได้ห่วยอย่างแรง เพราะปุ่มมันไม่ตรงกับปุ่มตัวเลข
ปล2. ใช้ QWERTY พิมพ์ไทยช้ามากเพราะตำแหน่งมันไม่เหมือนคีย์บอร์ดในคอมพิวเตอร์
ปล3. เห็นคีย์บอร์ดเรียบๆอย่างนี้ แต่กดง่ายมาก

09 August 2009

nisit.kasetsart เว็บไซต์ที่ห่วยที่สุดในโลก (Part 1)

[น18+] เนื้อหาด้านล่างต่อไปนี้ มีถ้อยคำที่หยาบคาย ผู้อ่านที่มีอายุน้อยกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ

เมื่อวันศุกร์ (7 สิงหาคม) ผมอดเข้ากิจกรรม Mind map ของมหาลัยครับ
อดเพราะว่าอยู่ดีๆมันเลื่อนวันจัดกิจกรรมให้เร็วขึ้นกว่าตอนที่ผมสมัคร (สมัครไปเมื่อกลางเดือนที่แล้ว)
ปกติผมจะจดนัดหมายต่างๆลงไปในมือถือของผมเสมอ แน่นอนว่ากิจกรรมของมหาลัยครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมสมัครในเว็บไซต์ nisit.kasetsart.org ซึ่งเป็นเว็บที่รวมกิจกรรมของมหาลัย แล้วผมก็จดลงมือถือทันที ว่าเป็นวันที่ 11 สิงหาคม หลังจากนั้นผมก็ลืมเลือนมันไป เพราะมือถือผมจะแสดงเวลาให้เอง เมื่อใกล้ถึง

แต่วันที่ 7 ซึ่งเป็นวันที่ผมสอบวิชา Operating System ในช่วงบ่าย หลังออกจากห้องสอบ ตอน 4 โมง ผมก็คุยกับเพื่อนเรื่องข้อสอบกันปกติ ก่นด่า บ่นอะไรกันพอหอมปากหอมคอ พอราว 4.40 ผมจึงคิดที่จะกลับบ้าน เดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่ตรงบาร์ใหม่ ระหว่างทางผมจึงโทรหาแก้วเรื่องหนังสือการ์ตูนที่ยืมไป แต่แก้วก็บอกว่าไม่ได้อยู่กับตัว ผมจึงถามต่อ ดังบทสนทนาด้านล่าง

โอ๊ต - “หนังสืออยู่ที่ห้องแล็ป? แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?

แก้ว - “อยู่ในกิจกรรม Mind map ที่ตึก 50 ปี”

ผมก็สงสัยครับ เพราะชื่อกิจกรรมมันเป็นชื่อเดียวกับที่ผมจะเข้าวันที่ 11 เลยถามต่อเพื่อความแน่ใจ

โอ๊ต - “ตึก 50 ปีไหน?”

แก้ว - “ก็ตึกที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียนกับคณะศึกษาศาสตร์ไง”

ชิบหายละครับ! กิจกรรมเดียวกันนี่หว่า ถึงตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจ หยุดเดิน มาหาที่นั่งเพื่อเปิดคอมพิวเตอร์เช็คดู แล้วก็เปิดดูปฏิทินในมือถือเพื่อเทียบกัน แล้วก็อุทานในใจว่า “หอกหัก! แม่งเปลี่ยนวันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!!?” เลยโทรไปถามแก้วอีกรอบว่ายังเข้าได้รึเปล่า? ซึ่งก็ได้คำตอบว่า “เข้าได้ถึง 5 โมงอะ” หลังจากวางผมก็มองเวลาในมือถือ 4.52 ...เอาวะพอทัน จึงเริ่มวิ่งจาก KITS ครับ แต่ด้วยความที่แบกโน้ตบุกไปด้วย แถมรองเท้ายังเป็นคัขขู วิ่งได้แป๊บเดียวก็หมดแรง เลยตัดสินใจว่าจะเอาของไปไว้ที่รถก่อน หลังจากนั้นก็วิ่งแหลกครับ จนถึงหน้าโรงเรียน ได้กลิ่นเหม็นของไอเสียรถยนต์ที่จอดอยู่ แวบนั้นก็นึกถึงกระทู้ในพันทิพ ทันที! แต่”ช่างหัวมัน” ไม่ใช่เวลาจะมาสนใจ

พอไปถึงตึก 50 ปีปุ๊บ มองนาฬิกา 5.03 “เอาวะ เลทนิดหน่อย น่าจะยังทัน” แต่ตอนที่เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ตรงหน้าห้องที่กำลังเก็บของลงทะเบียนกันอยู่ ก็ได้รับคำตอบอันเย็นชาว่า “หมดเวลาเข้าแล้วครับ” ด้วยความเหนื่อยจัด ตอนนั้นเลยยังไม่เถียงอะไร เดินหอบ มานั่งข้างนอก พร้อมกับโทรหาแก้วอีกรอบ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า “ลองเข้าไปคุยอีกรอบสิ” ผมจึงเดินเข้าตึกไปคุยกับเจ้าหน้าที่อีกรอบ
ตรงช่วงนี้เป็นบทสนทนาที่ไม่น่าพิสมัยซักเท่าไหร่ครับ เพราะคุณเจ้าหน้าที่ก็บอกผมว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่มาให้ทันล่ะ?” เท่านั้นแหละ ผมถึงจุดพีคทันที ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. อยู่ดีๆก็เปลี่ยนวันจัดกิจกรรม ไม่มีการประกาศ ไม่มีการแจ้งเตือน ไม่ส่งอีเมล์
2. เลื่อนแล้วยังดันมาตรงช่วงสอบอีกต่างหาก
3. บอกว่าผมผิดที่มาไม่ทันเวลาเอง (ก็กุวิ่งมาจนปวดขา เหงื่อท่วม แล้วมึงยังจะคิดว่ากุเล่นละครหรือไง)
เจ้าหน้าที่มันเรียกอ.ที่คุมกิจกรรมมาคุยแล้วครับ ก็น่าจะคุยรู้เรื่องขึ้นมาหน่อย แต่ก็ดันกลายเป็นคำแก้ตัวแทน
a. “งั้นคุณก็มาเข้ากิจกรรมอื่นสิ” (ก็คนสมัครมันล้น เข้าได้ก็เข้าไปแล้วโว้ย!)
b. “คนมันไม่เต็มหรอก อย่างวันนี้ก็มากันแค่ร้อยกว่าคนเอง” (ก็มึงเปลี่ยนวันไง คนมันเลยไม่เต็ม แล้วอันอื่นกุก็ไม่อยากเข้า)
c. “กิจกรรมนี้จัดทุกปี ทำไมคุณไม่มาเข้าตั้งแต่ปี 2 ล่ะ” (ก็กุไม่คิดว่าชม.กิจกรรมมันจะขาดไงเล่า เข้าร่วมแล้วก็ไม่ให้ชม.กุ มันคงจะครบหรอก)
d. “งั้นคุณก็รอเข้ากิจกรรมอื่นก็ได้ มันมีตลอดปีแหละ” (กิจกรรมมึงมีตลอด แต่กุไม่ได้ว่างตลอดโว้ย กุปีสี่แล้ว มีโปรเจ็กจบ)

ตอนนี้ ถึงผมจะเกินจุดเดือดไปแล้ว แต่ก็ยังพูดด้วยถ้อยคำที่ดีที่สุด สุภาพที่สุด แล้วก็คิดว่าจะได้คำตอบที่ดีๆกลับมาบ้าง แต่ก็กลายเป็นคำตอบ แถไปแถมา ข้างๆคูๆ ที่เหตุผลของผมสามารถปัดตกไปได้ทุกอัน จนบทสนทนามาถึงจุดสุดท้าย
“ผมขอโทษด้วยแล้วกันครับ”
แค่นี้เหรอ? คิดว่าขอโทษนิสิตคนเดียวแล้วเรื่องมันจะจบหรือไง
เชื่อเหอะ เดี๋ยววันอังคาร (11) นี้ ต้องมีนิสิตมารอที่หน้าห้องประชุมตรึม
แล้วจะมาโทษแก๊สโซฮอล์ไม่ได้นะ...

ใน part 2 ผมจะมาแฉถึงความกากของ nisit.kasetsart.org แบบถึงลูกถึงคน

29 July 2009

นารุโตะ: “ซาสึเกะ where are you?”

พูดถึงการ์ตูนญี่ปุ่น หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “มังงะ” (อ่านว่า มัง – หงะ) เรียกได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีเงินหมุนเวียนมหาศาล เพราะนอกจากมังงะนับพันเรื่องที่ออกขายในญี่ปุ่นแล้ว ยังมีไม่น้อยที่ออกไปดังในต่างประเทศ แต่ละปีนำเงินค่าลิขสิทธ์เข้าประเทศญี่ปุ่นนับหมื่นล้านเยน
มังงะเรื่องหนึ่งที่ดังมากทั้งในญี่ปุ่นและบ้านเรา ก็คือ “นารุโตะ” หรือที่สำนักพิมพ์ในไทย ตั้งขื่อเป็นภาษาไทย เหมือนใช้ส้นเท้าคิด ว่า “นินจาคาถาโอ้โฮเฮะ” เป็นเรื่องที่เนื้อเรื่องดี ลายเส้นสวย ไม่หนัก อ่านง่าย เนื้อหาชวนติดตาม ผมติดตามตั้งแต่เล่มแรก จนถึงเล่มล่าสุด คือเล่ม 46 มันเปลี่ยนไป! ลายเส้นไม่สวย เนื้อเรื่องแย่ลง (แต่ก็ยังพอไปวัดไปวาได้) เหมือนกับคนเขียนหมดไฟจะเขียนแล้ว วันนี้ผมเลยอยากจะระบายสิ่งที่ขัดใจกับการ์ตูนเรื่องนี้สักหน่อยครับ

[SPOIL ALERT!]

สิ่งที่ขัดใจ 1 - การดำเนินเรื่องทุกอย่างดูง่ายไปหมด คนเขียนบอกหมดทุกอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่ 419 หน้า 4 (เล่ม 45) เพนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาตอนจะบุกเข้าโคโนฮะว่า ”ที่ อิทาจิ กับ คิซาเมะ เล็ดลอดเข้าโคโนฮะได้ง่ายๆ ก็เพราะ อิทาจิ เคยเป็นหน่วยลับของ โคโนฮะ มาก่อน ก็เลยรู้กระบวนการรหัสลับที่จะเล็ดลอดผ่านรัศมีป้องกันไปได้” แถมยังบอกต่ออีกว่า “แต่พวกเราก็มีวิธีการของพวกเราเอง” ขอถามหน่อยเหอะ จะพูดออกมาเพื่ออะไร(วะ) ในเมื่อตอนที่จะบุกเข้าหมู่บ้าน ก็ไม่มีใครมาฟังพวกคุณอธิบายหรอก ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องในตอนนั้เลย อ่านแล้วชวนให้หงุดหงิดเป็นที่สุด
สิ่งที่ขัดใจ 2 - รูป 3 มุม จะวาดทำไมนักหนา?
หนึ่งเล่มมีอยู่ 2-3 รูป จะใส่เข้าไปทำไมเยอะแยะครับ? บางมุมก็วาดแล้วดูไม่ออกว่าทำท่าไม้ตายอะไรกัน แถมลายเส้นมันจะน้อยไปมั้ง? ยิ่งเทียบกับพื้นหลังที่ให้ผู้ช่วยวาด ผมว่ามันเป็นการ์ตูนคนละเรื่องกันเลย

สิ่งที่ขัดใจ 3 - ตัวเอก นึกจะเก่งมันก็เก่งขึ้นมาซะยังงั้น!
ช่วงระหว่าง ภาค 1 กับ ภาค 2 ห่างกันราวๆ 3 ปี คนเขียนนำเรื่องให้ นารุโตะ ไปฝึกกับ จิไรยะ ย้ำ ฝึก 3 ปี พอเริ่มภาค 2 ก็อ่านไม่เจอว่าได้วิชาอะไรใหม่มาแม้แต่วิชาเดียว!! นั่งส่องสาวไปวันๆหรืออย่างไร ถึงจะพอจับเค้าได้ว่า ไปฝึกควบคุมพลังของจิ้งจอกเก้าหางก็เถอะ แต่ตลอด 40 กว่าเล่มที่ผ่านมามันก็ใช้วิชานินจาเป็นแค่ 2 อย่าง คือแยกเงาพันร่าง กับ กระสุนวงจักร ทั้งที่ซาสึเกะมีวิชานินจานับได้ 10 กว่าอย่างแล้ว แต่พอมาหลังจากที่จิไรยะตาย (เล่ม 44) นารุโตะก็ไปฝึกวิชาเซียนกับ เซียนกบ ไอ้คราวนี้ ไม่ถึงเดือนมันก็เก่งจนไปสู้กับตัวร้ายที่เมพสุดๆ อย่างเพนได้สบาย แถมยังได้วิชาโคตรแรงมาอีกต่างหาก อยากจะตะโกนออกมาดังๆว่า “อะไรของเมิง!!!”

สิ่งที่ขัดใจ 4 – ดีไซน์ตัวละครออกทะเล!?
ก็รู้อยู่ว่านึกรูปแบบตัวละครไม่ออก แล้วไอ้ตอนที่ประกาศหาคนออกแบบตัวละครนั่นเอาไปดองเค็มไว้ที่ไหนครับ? มีคนส่งกลับมาเป็นพันเป็นหมื่นใบ หายไปไหนหมด? ตัวประกอบที่ออกมาใหม่ๆถึงได้ดูเอ๋อๆ อย่าง ไรคาเงะ หรือ หน่วยของซามุย ที่วาดออกมาได้ไม่ลงตัวอย่างแรง

[End section of SPOIL]

จากการ์ตูนเกรด A แต่นับวันการ์ตูนยิ่งออกห่างจากความสนุกเข้าไปทุกที ด้วยเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น ตอนนี้ผมเลยให้แค่ C+ แล้วครับ หวังว่ามันคงจะจบในไม่ช้า เพราะคนเขียนคงลืมความสนุกในการเขียนการ์ตูนเหมือนตอนเล่มแรกๆไปแล้ว

ห่อนจะไปอ่านหนังสือสอบ ผมอยากถามคนเขียนว่า "นารุโตะ where are you?"

ปล. นึกไปถึงโคนันอะ สไตล์เดียวกันเลย ตอนแรกสนุกมาก หลังๆกลายเป็นนิยายอ่านยากไปแล้ว

26 May 2009

อยากตาย...

เปล่า... ผมไม่ได้ถูกแฟนทิ้ง ไม่ได้ถูกแม่ด่า อาจารย์ไม่ได้ตี เคมีไม่ได้F และผมก็ไม่ได้เป็นคนที่อยากตาย
แต่ยังมีอีกหลายคนที่อยากตาย "ทำไมถึงอยากตาย?" หลายคนก็อาจจะถามต่อ "ตายแล้วไปไหน?"

ช่วงนี้ข่าวคนฆ่าตัวตายกันเยอะเหลือเกิน เยอะกว่าสมัยผมเด็กๆมาก เป็นข่าวกันแทบทุกอาทิตย์
กระแสฆ่าตัวตายยิ่งมาแรง หลังจากที่อดีตประธานาธิบดี โน มู ฮยอน กระโดดหน้าผา
เพื่อจะแสดง "ความรับผิดชอบ" ในคดีติดสินบนสมัยอยู่ในตำแหน่ง

การฆ่าตัวตายมันก็คงเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ผมคิดว่าสามารถแยกประเภทของคนเหล่านี้ออกมาได้เป็น 2 พวกคือ
กลุ่มที่ เครียด เสียใจ เบื่อโลก ถ้าให้ผมเรียกคนประเภทนี้ก็คงเป็นพวก "คิดสั้น" นั่นแหละ
กับอีกกลุ่ม ตายเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ถ้าเรียกให้เท่ห์ก็คงเป็นพวกที่ "ตายเพื่อศักดิ์ศรี"

คนกลุ่มแรกผมไม่สนใจครับ ถ้าคิดดีแล้วว่าโลกหลังความตายดีกว่าก็ทำไปเถอะครับ
แต่พวกที่ "ตายเพื่อศักดิ์ศรี" เนี่ย เป็นอะไรที่น่าแปลก
วันนี้ (26พ.ค.) ผมอ่านหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ก็มีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้
เค้าบอกว่า ชาวตะวันออก (โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น-จีน-เกาหลี) จะนิยมฆ่าตัวตายเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำผิดใดๆซักอย่างนึง
ในขณะที่ชาวตะวันตกจะยอมต่อสู้ตามระบบกฎหมาย

แต่มันกลับน่าแปลก ชาวตะวันตกที่ยอมรับโทษ กลับมีชีวิตต่อไปด้วยความอดสู ในคุก
ในขณะที่ชาวตะวันออกที่ฆ่าตัวตายมักได้รับการยกย่องนับถือต่อการกระทำนั้น ในโลงศพ
ทั้งที่พวกเค้าไม่ได้ยอมรับต่อการกระทำผิดด้วยซ้ำ!

ศักดิ์ศรีมันช่างสำคัญเสียนี่กระไร
ชีวิตหลังความตายมันช่างน่าพิสมัยกระนั้นหรือ

เมื่อถึงช่วงหนึ่งของชีวิต ผมอาจจะคิดว่าความตายเป็นสิ่งที่ดีก็ได้?
ใครจะไปรู้ แต่ถึงยังไงเราก็หนีมันไม่พ้นอยู่ดี

18 April 2009

9 เทคโนโลยีที่ “ของมันจะมา” (ครึ่งแรก)

1. Android live in a cell phone
ตัวแรกเริ่มจากอะไรที่ใกล้ตัวเรามากๆ นั่นคือ โทรศัพท์มือถือ แล้ว Android มันคืออะไรล่ะ? มันก็คือระบบปฏิบัติการบนมือถือ แต่หลายคนก็ยังงงอยู่ดีว่าไอ้ระบบปฏิบัติการในมือถือนี่มันเป็นยังไง ยกตัวอย่างให้ง่ายที่สุดก็อย่างเช่น Symbian มากมายหลายซีรีย์ส Windows Mobile หรือ Linux หลายคนคงอ๋อตั้งแต่ตัวอย่างแรกแล้วล่ะสิ
Andriod
เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับมือถือตัวใหม่ที่พัฒนาโดย Google ซึ่งเริ่มแรกนั้นความต้องการของ Google ก็คือการเจาะกลุ่มตลาดโทรศัพท์มือถือ เพื่อที่จะเสริมบริการ อื่นๆของ Google (Gmail, Docs, Maps, etc.) ลงไปได้ง่าย ไม่ต้องไปทำโปรแกรมให้ยุ่งยากในระบบปฏิบัติการอื่นๆ ดังนั้น พื้นฐานของ Android จึงใช้ Java ในการพัฒนา ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมที่ฮิตติดอันดับต้นๆของโลก
หลังจากการเปิดตัวอย่างสวยงามของ T-Mobile G1 ที่เป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ได้ไม่นาน นักพัฒนาจากทั่วโลกก็ส่งโปรแกรมที่ตนเองพัฒนาขึ้นมาลงใน Android market (คล้ายๆ App Store ของ iPhone) และกฎข้อบังคับก็ไม่เข้มงวดเท่า App Store อีกด้วย
ในปีนี้ก็มีบริษัทผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายบริษัทที่เป็นพันธมิตรกับ Google ในนามของ Open Handset Alliance ก็ได้ออกมาประกาศว่าจะผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใช้ Android อย่างแน่นอน สิ่งนี้เอง ทำให้อนาคตของ Android ช่างดูสดใสเสียเหลือเกิน
นอกจากนี้ เมื่อต้นปียังมีข่างออกมาอีกว่า แฮกเกอร์ได้ทำการแฮกระบบปฏิบัติการ
Android ลงใน Netbook ได้เป็นผลสำเร็จ โดยใช้เวลาในการดัดแปลงโค้ดเพียงแค่ 4 ชม.เท่านั้น สาเหตุมาจากตัว Android เองมีส่วนที่สนับสนุนการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์อื่นๆอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการดัดแปลง เหตุนี้เองทำให้เชื่อได้ว่าทาง Google มีแผนที่จะนำ Android ข้ามไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่ามือถือเป็นแน่!




2. Netbook Era
ในตอนนี้อุปกรณ์พกพาอีกอย่างที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ
Netbook (เน็ทบุ๊ก) หรือเป็น Notebook ขนาดเล็กนั่นเอง ด้วยขนาดหน้าจอเพียง 9-10และน้ำหนัก 1 กก แถมราคายังถูกกว่า Notebook ตัวจริงแบบครึ่งต่อครึ่ง ทำให้ Netbook กลายเป็นกระแสมาแรงของปีนี้ไปแล้ว Netbook ถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่เพื่อการพกพาอย่างแท้จริง จุดเริ่มต้นของ Netbook มาจากโครงการ OLPC ก็คือ โครงการที่จะผลิต Notebook ขนาดเล็ก ราคาถูก เพื่อในนักเรียนในประเทศยากจนได้เข้าถึงเทคโนโลยี (ไม่น่าแปลกใจที่ไทยเราก็เป็นหนึ่งในนั้น) โครงการ OLPC ได้ฤกษ์เปิดตัวไปได้ปีเศษๆก็มีเครื่องมามอบให้กับเด็กๆ ขณะนั้นเอง ASUS ก็ไปเหลือบเห็นเข้า แล้วก็คิดว่า “น่าจะขายได้” เท่านั้นแหละครับ ASUS ได้ออก Netbook ตัวแรกของโลกคือ EeePC 700 แล้วก็ดังระเบิดตูมตามไปทั่วโลก เพราะราคาเปิดตัวที่ถูกแสนถูก ราวๆ $300 หรือ 12,000 บาท ทำให้ขายได้มากกว่า 3แสนเครื่องภายในเวลาแค่ 4 เดือน
พอเวลาล่วงเข้าปี 2008
Intel เจ้าพ่อแห่งวงการ Computer Chipset ก็ได้ออก Mobile CPU ตัวใหม่ออกมา แล้วก็เป็นไปตามคาดคือ ASUS ได้นำ Atom มาใส่ลงไปใน EeePC แล้วก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีกรอบ จนบริษัทอื่นเห็นท่าว่าตลาดนี้จะรุ่ง จึงผลิต Netbook ของตัวเองออกมาบ้าง จนในปี 2008 เพียงปีเดียวก็มียอดจำหน่ายรวมกันมากกว่า 25 ล้านเครื่องเข้าไปแล้ว
Netbook ของแต่ละยี่ห้อคลานตามกันออกมา จนถึงตอนนี้ เกือบ 10 ยี่ห้อเข้าไปแล้ว ส่วนคนที่ยิ้มแหยๆมากที่สุดก็คือ Intel ผู้ผลิตชิปเซต Atom ที่ตอนนี้ผลิตไปมากกว่า 40 ล้านชิ้น แต่ถึงกระนั้น Intel เองก็ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เพราะ Atom นั้นถูกออกแบบมาสำหรับโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่ทำมาผลิต Netbook อย่างที่เห็นๆกันอยู่ เซ็งเรื่องนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่ Intel เซ็งที่สุดเห็นจะเป็นกำไร เพราะเนื่องจากราคาของชิปเซตที่ถูก ทำให้กำไรลดน้อยลงไปด้วย
และในตอนนี้ ทาง
Intel ก็ได้วางแผนที่จะออกชิป Atom แบบ Dual-core ภายในปีหน้า (2010) ซึ่งก็ค่อนข้างแน่ชัดว่าเส้นทางของ Netbook ยังคงไปต่อได้อีกยาวแน่นอน




3. Windows 7 "Finished Vista"
หลังจากที่พี่บิ๊กในวงการไอทีอย่าง Microsoft ออกระบบปฏิบัติการ Windows Vista ในปี 2006 ก็แทบได้รับเสียงตอบกลับมาจากผู้ใช้ทันทีว่า ช้ามาก ถึงระบบต่างๆภายในจะดีขึ้นมากกว่า XP ก็ตาม ทำให้ล่าสุด (ธันวาคม2008) Windows Vista จึงมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 15% ในขณะที่ Windows XP ยังคงจำนวนผู้ใช้ไว้ได้ที่ 70% และ Mac OS X ก็ได้โอกาสตีตื้นมาที่ 6%
ความล้มเหลวในครั้งนั้น ทำให้ Microsoft รู้สึกตื่นตัวและจำต้องออกระบบปฏิบัติการตัวใหม่ที่ดีกว่า Vista ให้เร็วขึ้นจากแผนเดิมในปี 2011 จึงต้องเลื่อนขึ้นมาเป็นปี 2009 แทน ในชื่อว่า Windows 7
Windows
7 นั้นนับได้ว่าเป็น Vista ฉบับสมบูรณ์ก็ไม่ผิดนักเนื่องจากความแตกต่างด้านรูปร่างหน้าตากับ Vista ยังไม่มากนัก ที่พอจะสังเกตได้ก็เพียง taskbar ที่ดูแปลกตาไป แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างกันอย่างมาก คือประสิทธิภาพ ซึ่งหลังจากที่ Microsoft ได้ออกตัว Beta ออกมาให้โหลดกันไปทดลอง ก็มีบทวิเคราะห์ วิจารณ์ออกมามากมาย และเสียงส่วนใหญ่ก็จะเป็นการชมถึงประสิทธิภาพในการใช้งาน ที่ดีกว่า และเร็วกว่า Windows XP ซะอีก ในครั้งนี้ Microsoft จึงตั้งความหวังอย่างมากที่จะดึงผู้ใช้ Windows XP ให้เปลี่ยนมาใช้ Windows 7 แทน แน่นอนว่ารวมถึงผู้ที่เปลี่ยนใจไปใช้ Mac แล้วด้วย
กำหนดเปิดตัว Windows 7 ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ความฝันที่จะปลุกความยิ่งใหญ่ของ Microsoft กลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากแผ่วไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นไปได้ ถ้าไม่เกิดโรคเลื่อนขึ้นในการเปิดตัวแล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าความหวังของ Microsoft คราวนี้เป็นจริงแน่นอน



4. SSD Rocks!!
สำหรับ
SSD หรือชื่อเต็มๆก็คือ Solid State Drive ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลสำรอง (ศัพท์ทางคอมเรียก Secondary Storage) แบบใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ Hard Drive แบบจานหมุนในไม่ช้านี้
Solid State Drive
นั้นเพิ่งเริ่มจะมาพัฒนากันจริงๆจังๆเมื่อ 1-2 ปีที่แล้วนี้เอง จุดเริ่มต้นก็คือความสำเร็จของ Netbook ที่มียอดขายถล่มทลาย แล้วไส้ในของมันก็ใช้ SSD เป็นหน่วยความจำสำรองแทน HDD นั่นเอง ถึงแม้ในตอนนั้นความจุจะเพียง 8 GB แต่ก็ทำให้ SSD เริ่มเป้นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะจุดเด่นของมันก็คือ กินไฟน้อย น้ำหนักเบา ไม่มีส่วนเคลื่อนไหวที่เราต้องคอยระวังไม่ให้กระแทก แถมมี Access time ในระดับเดียวกับ RAM เรียกได้ว่าคลิ๊กปุ๊บ ก็มาปั๊บ ทำให้ SSD เป็นที่นิยมใช้ใน Netbook หรือ Notebook รุ่นที่ประหยัดพลังงานมากกว่า HDD แบบเดิมๆ
แต่ถึงจะมีข้อดีที่โดดเด่น แต่ก็มีข้อเสียไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อย่างแรกเลยคือเรื่องราคาที่จะแพงกว่า
HDD ถึง 5 เท่า (โดยประมาณ) ข้อเสียอันดับต่อมาก็คือเรื่องความจุ ถึงตอนนี้ ความจุมากที่สุดของ SSD ยังได้เพียงแค่ 256 GB (มีขนาด 1 TB แล้วแต่ยังไม่ออกจำหน่าย และราคาก็คงแพงมหาโหด) และข้อเสียอย่างสุดท้ายก็คือ ขีดจำกัดในการอ่าน-เขียนข้อมูลจะอยู่ที่ราวๆ 1-2 ล้านครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะเริ่มเสื่อม (ขึ้นอยู่กับคุณภาพของชิป) ข้อเสีย 2 อย่างแรกนั้นแก้ได้ไม่ยาก เพียงแค่ SSD เป็นที่นิยมมากขึ้น เทคโนโลยีการผลิตก็จะถูกลง และขนาดก็จะใหญ่มากขึ้น แต่เรื่องขีดจำกัดในการอ่าน-เขียนข้อมูลที่ยังต้องรอเทคโนโลยีใหม่กันต่อไป
อนาคตของ
Solid State Drive จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ก็กำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ Notebook หลายรุ่นก็เริ่มมี option SSD ให้เลือกแทน Hard Drive แล้ว เส้นทางสู่แสงสว่างของ SSD จึงเริ่มโผล่ให้เห็นรำไรอยู่ข้างหน้า

เรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับ สำหรับครึ่งหลัง คงจะมาอัพเร็วๆนี้ครับ