ตอนค่ำได้ดูข่าวช่อง 5 เรื่องการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครบ 90 ปี แล้วมีการเล่าถึงการปิดกั้นสื่อ ทำให้นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยมาพ่นไว้ในนี้
ผมนึกถึง จีน vs. อเมริกา ที่เรียกว่าเป็นสองขั้วอำนาจแบบกลายๆ โดยจีนแทนที่สหภาพโซเวียตที่ล่มสลายไป รัฐบาลจีนนั้นทำการปิดกั้นสื่อ และการแสดงออกของประชาชนอย่างจริงจัง ส่วนอเมริกานั้นตรงกันข้าม (แท้จริงแล้วก็มีบ้าง แต่เทียบกับจีนก็ถือว่าน้อยมาก) คำถามคือ แล้วทำไมประชาชนของทั้งสองชนชาติถึงยังสามารถคงความเป็นประเทศไว้อยู่ได้ ทั้งที่ทางฝั่งจีน ก็ควรจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้น แน่นอนว่าเคยเกิดมาแล้วที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ส่วนสหรัฐอเมริกาก็ควรจะแตกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยไปแล้ว ด้วยความที่ประชาชนควรจะมีความเห็นแตกต่างกันแทบจะนับไม่ถ้วน
คำถามนั้นน่าสนใจหาคำตอบมาก เพราะคงจะเกี่ยวพันทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ระบบสังคม ศาสนา วัฒนธรรม แต่แน่นอนว่ามันลึกซึ้งเกินไป (ฮา) หันกลับมามองที่ประเทศไทยแทนดีกว่า ใกล้ตัว
การปิดกั้นสื่อถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของประเทศไทยพอสมควร จากที่เคยอ่านคือ อยู่ในระดับเดียวกับจีนซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ โดยผู้ที่ทำหน้าที่ปิดกั้นแหล่านั้นก็มักอ้างเรื่องของ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน vs. ความแตกแยก สิ่งที่เป็นคำถามตามมาคือทำไมถึงคิดว่าปิดกั้นแล้วจะไม่ทำให้ประชาชนคิดไปเอง แทนที่เราจะเลิกคิด (อย่างที่ผู้กระทำหวัง) นั้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ยิ่งคุณปิดหู ปิดตาพวกเขา ก็ยิ่งจะทำให้เขาคิด โดยที่ไม่ได้ฟังความให้รอบซะก่อนหรอกหรือ?
สถานการณ์แบบนี้ผมคิดว่ามันจะยิ่งทำให้เกิดการพัฒนากระบวนการคิดแบบที่ไม่ฟังความเห็นต่าง จนไปถึงขั้นเกิดความขัดแย้งในระดับใหญ่ แบบที่เกิดขึ้นกับกีฬาสีในประเทศขณะนี้
อย่างนี้ควรจะเรียกว่าประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยได้หรือไม่? ในเมื่อสิทธิขั้นพื้นฐานในการเสพสื่อยังไม่มี!